ค้นพบโทชิงิ ธรรมชาติ
ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ชัดเจนนี้ ทั้งต้นไม้และดอกไม้จะเผยทิวทัศน์ที่หลากหลายในแต่ละฤดูกาล เช่น ดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดโทจิงิ ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนจนถึงเดือนมิถุนายนที่ดอกซากุระบานหมดไปแล้ว ก็จะเข้าสู่ช่วงที่เหมาะมาชม “ดอกวิสทีเรีย (ดอกฟูจิ)” ที่บานสะพรั่งไปทั่วท้องฟ้าและ “ดอกอาซาเลีย (ดอกสึสึจิ)” ที่มีดอกสีแดงและสีชมพูแสนงดงาม ซึ่งตรงนี้เราจะขอแนะนำลักษณะของจังหวัดโทจิงิซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้เหล่านี้
เพลิดเพลินกับดอกไม้หลากสีสันของโทจิงิในฤดูใบไม้ผลิ
วิสทีเรีย 350 ต้นที่เบ่งบานราวกับโปรยปรายลงมานี้ได้สร้างโลกอันแสนอัศจรรย์
สวนดอกไม้อาชิคางะ (Ashikaga Flower Park) เป็นธีมพาร์กดอกไม้ที่ตั้งอยู่ในเมืองอาชิคางะในตอนใต้ของจังหวัดโทจิงิ และตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคมก็จะเข้าสู่ช่วงที่เหมาะมาชมดอกวิสทีเรียหลากหลายสีสัน เช่น สีชมพู สีม่วง สีขาว และสีเหลืองเบ่งบานสลับกันไปมากกว่า 350 ต้นบนพื้นที่ถึง 100,000 ตร.ม.
วิสทีเรียเป็นไม้เลื้อยที่เติบโตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยดอกไม้เล็กๆ จะรวมกันเป็นพวง และจากเถาวัลย์เดียวก็จะบานห้อยลงมาเป็นอีกหลายเถา รวมทั้งยังมีการใช้ประโยชน์จากคุณสมบัตินี้ โดยจะให้เถาวัลย์ลอดข้ามไปที่ “ซุ้มดอกวิสทีเรีย” ที่ทำจากไม้หรือไม้ไผ่ รวมทั้งวิธีการชื่นชมกลีบดอกไม้เช่นนี้ก็มีให้เห็นกันทั่วไป
ที่สวนดอกไม้อาชิคางะแห่งนี้มีวิสทีเรียยักษ์สีม่วงที่มีอายุมากกว่า 160 ปี และมีซุ้มดอกวิสทีเรียยาวมากกว่า 1,000 ตร.ม. และในช่วงที่เหมาะมาชม ดอกไม้นับไม่ถ้วนนี้ก็จะกระจายห่อหุ้มท้องฟ้า จนกล่าวกันว่าเป็นวิสทีเรียที่สวยที่สุดในโลกเลยทีเดียว
นอกจากซุ้มดอกวิสทีเรียที่กินพื้นที่เหนือศีรษะแล้ว ยังมีซุ้มดอกวิสทีเรียที่แผ่ขยายออกเหมือนกับกำแพงขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีความกว้างถึง 50 เมตร สูง 8.5 เมตร โดยคุณฮาเซกาวะจากสวนดอกไม้อาชิคางะได้กล่าวว่า “เป็นเพราะทักษะของพนักงานที่ทำให้ดอกไม้เบ่งบานได้อย่างสวยงามและสม่ำเสมอที่ซุ้มดอกวิสทีเรียในรูปแบบที่เป็นฉากกั้นเช่นนี้ครับ”
ฮาเซกาวะ : เมื่อลูกค้ามาชมดอกไม้ ถ้ามีดอกไม้ที่ยังไม่บานก็จะทำให้ภูมิทัศน์เสียได้ครับ ซึ่งการเติบโตนี้จะขึ้นอยู่กับการคำนวณขั้นสูงเพื่อให้ถ่ายภาพออกมาได้สวยมากที่สุดเมื่อถ่ายจากด้านหน้าครับ
ถ้าสืบย้อนประวัติอันยาวนานของสวนดอกอาชิคางะ จะพบว่าที่นี่เริ่มต้นจากการเปิดสวนในชื่อ “ฟาร์มฮายาคาวะ” ในปี 1968 ในตอนนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่อื่น แต่เนื่องจากแผนการพัฒนาใหม่ของเมือง จึงต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีนับจากปี 1994 ในการย้ายไปยังสถานที่ในปัจจุบัน
ฮาเซกาวะ : งานย้ายปลูกวิสทีเรียเป็นเรื่องยากมากครับ โดยเฉพาะเราไม่มีแบบอย่างที่ผ่านมาในการปลูกย้ายวิสทีเรียยักษ์ซึ่งมีอายุมากกว่า 100 ปีนี้ ดังนั้นแม้ว่าเราจะย้ายที่ปลูกได้ แต่ก็ไม่รู้เลยครับว่าจะหยั่งรากหรือไม่ นอกจากนี้สถานที่ในปัจจุบันที่เราย้ายปลูกมานี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งก็บอกไม่ได้อีกว่าเป็นดินที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของวิสทีเรีย เราจึงจำเป็นต้องเตรียมสภาพแวดล้อมโดยใช้ระยะเวลาเตรียมตัวค่อนข้างมากครับ
ในปีแรก เราพยายามเต็มที่ให้ดอกวิสทีเรียไม่บานเพื่อจะได้ใช้สารอาหารของต้นไม้ในการเจริญเติบโตของกิ่ง ใบ และรากครับ หลังจากยืนยันได้ว่าต้นวิสทีเรียหยั่งรากแล้ว เราก็มุ่งมาที่การจัดการด้านดอกไม้เป็นครั้งแรกครับ
แต่การจัดการด้านดอกไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ แม้ว่าจะเติบโตในลักษณะเดียวกันทุกปี แต่จำนวนดอกและความยาวของดอกก็แตกต่างกันไปในแต่ละปี โดยเฉพาะซุ้มดอกวิสทีเรียจะดูสวยงามเมื่อมีดอกจำนวนมาก แต่เมื่อบานมากเกินไป แสงจะไม่ส่องเข้ามา และก็จะมืดในตอนที่เข้ามาชมครับ เมื่อเป็นอย่างเช่น รูปจะถ่ายออกมาไม่สวย ความสมดุลระหว่างดอกไม้กับแสงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกับที่นี่ครับ
หลังจากลองผิดลองถูกมาเป็นเวลา 25 ปี ขณะตรวจสอบสภาพของดอกไม้และปฏิกิริยาของลูกค้าที่ได้ชมวิสทีเรีย ในที่สุดดอกไม้ของเราก็บานอย่างสมดุลแล้วครับ
ดอกไม้สวยๆ จะทำให้บานอย่างไร และลูกค้าจะรู้สึกว่าสวยหรือไม่ ซึ่ง “ธีมพาร์กดอกไม้” แห่งนี้ถือเป็นผลมาจากการแสวงหาประสบการณ์ผ่านดอกไม้ โดยคิดว่าอยากให้ผู้คนได้เพลิดเพลินกับดอกไม้อย่างไร
มีการประดับไฟยามค่ำคืนในช่วงเวลาจำกัด โดยถือเป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อให้ได้เพลิดเพลินกับดอกไม้ และยังแตกต่างกับดอกวิสทีเรียที่งดงามภายใต้แสงที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าในเวลากลางวัน รวมทั้งเมื่อมีการประดับไฟก็จะเผยให้เห็นทิวทัศน์น่าอัศจรรย์ใจที่เต็มไปด้วยเงา
ปัจจุบันสวนนี้กำลังลองปลูกซุ้มดอกวิสทีเรียแบบใหม่ที่เรียกว่า “วิสทีเรียเฮาส์” และนี่ก็คือซุ้มดอกวิสทีเรียที่เป็นโดมยาวในแนวตั้ง ซึ่งได้ไอเดียมาจากโอเปร่าเฮาส์ของออสเตรเลีย และเพื่อให้ผู้คนมากมายได้เพลิดเพลินกับดอกวิสทีเรียมากขึ้นกว่าเดิม จึงได้กระตือรือร้นในการสร้างจุดที่ไม่ควรพลาดชมแบบใหม่ๆ มากขึ้น
การเดินเที่ยวที่รายล้อมไปด้วยสีเขียวชอุ่ม และดอกอาซาเลียที่แต่งแต้มสีแดงและสีชมพู
จุดชมดอกไม้ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งในจังหวัดโทจิงิคือสวนดอกอาซาเลียแห่งยาฮาตะ (YahataAzaleas Park) ในนาสุโคเก็นที่กินพื้นที่ทางตอนเหนือ ซึ่งนาสุโคเก็นที่มีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และหมู่บ้านน้ำพุร้อนถือเป็นพื้นที่รีสอร์ตยอดนิยม และในจำนวนนั้นก็มีพื้นที่ปลูกดอกอาซาเลียถึงราว 200,000 ต้นบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร หรือเชิงเขาชาอุสึทางตะวันออกที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,915 เมตร รวมทั้งยังได้รับเลือกให้เป็น “หนี่งในร้อยทิวทัศน์ของกลิ่นหอม” ที่คัดเลือกโดยรัฐบาล (กระทรวงสิ่งแวดล้อม)
ดอกอาซาเลียเป็นหนึ่งในพืชพรรณที่คุ้นเคยกันดีและปลูกในญี่ปุ่นมาตั้งแต่อดีต และที่สวนดอกอาซาเลียแห่งยาฮาตะตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงปลายเดือนมิถุนายน ดอกอาซาเลียสีแดง สีชมพู และสีขาวจะบานสะพรั่งตามลำดับ โดยเฉพาะดอกอาซาเลียสีแดงสดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมก็งดงามด้วยสีสันที่ตัดกับต้นไม้สีเขียวชอุ่ม
มาชมดอกอาซาเลียทั้งสองข้างทาง พลางเดินไปตามเส้นทางเดินเล่นเพื่อไปยังจุดชมวิว ซึ่งจากที่นั่น คุณจะเห็นทัศนียภาพของดอกอาซาเลียบานสะพรั่งสุดสายตาในเบื้องหน้าโดยมีฉากหลังเป็นภูเขาชาอุสึซึ่งมองเห็นได้ในระยะไกล
ก่อนที่เกิดเป็นสวนดอกอาซาเลียแห่งยาฮาตะ ที่นี่เคยเป็นทุ่งหญ้าสำหรับโคเนื้อ ม้าเกษตรกรรม และม้าที่ใช้ในการศึกที่เรียกว่า “นาสุโคมะ” และสาเหตุที่ทำให้เกิดสวนดอกอาซาเลียก็เพราะนาสุโคมะและโคเนื้อไม่ชอบกินดอกอาซาเลียเป็นอาหาร เนื่องจากมีการกินพืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่ดอกอาซาเลีย จึงทำให้ดอกอาซาเลียอยู่รอดได้โดยไม่ถูกกินจนเกิดเป็นภูมิทัศน์เหล่านี้ หลังจากเสร็จสิ้นบทบาทของทุ่งหญ้าแล้ว ที่นี่ก็ได้รักษาทิวทัศน์ด้วยการตัดพืชที่ขัดขวางการเจริญเติบโตของดอกอาซาเลียด้วย
ผู้รับผิดชอบของจังหวัดโทจิงิที่ดูแลพื้นที่นี้กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ทุกคนสามารถมาเพลิดเพลินที่สวนดอกอาซาเลียแห่งยาฮาตะนี้ได้ครับ”
ผู้รับผิดชอบ : เราใช้การออกแบบเพื่อทุกคนที่ทางเดินไม้ เพื่อให้ผู้ใช้วีลแชร์สามารถเคลื่อนรถได้อย่างปลอดภัยครับ นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้นไปที่การแสดงคำแนะนำในหลากหลายภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลี เพื่อให้ชาวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นสามารถเพลิดเพลินได้ครับ
องค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ กำลังร่วมมือกันดำเนินการในการปกป้องทิวทัศน์นี้ เช่น ในทุกปีก็ได้ดำเนินการร่วมกับนักเรียนมัธยมปลายในท้องถิ่นเพื่อกำจัดพืชที่ได้ถูกกำหนดให้เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่กล่าวกันว่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ รวมทั้งทั่วทั้งเมืองยังปกป้องและอนุรักษ์ทิวทัศน์นี้อย่างต่อเนื่อง
ถ้าจะเพลิดเพลินกับทั้วสี่ฤดูกาลในญี่ปุ่น เราขอแนะนำให้คุณเพิ่มการตระเวนเที่ยวชมดอกไม้ไว้ในแผนการเดินทางของคุณด้วย โดยเฉพาะดอกวิสทีเรียและดอกอาซาเลียที่เราแนะนำไปแล้วในครั้งนี้จะมีชนิดต่างๆ ที่เข้าสู่ช่วงเหมาะมาชมผันแปรไปตั้งแต่เดือนเมษายนถึงจนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่เปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูร้อน ซึ่ง “สวนดอกไม้อาชิคางะ” และ “สวนดอกอาซาเลียแห่งยาฮาตะ” ก็ถือเป็นสถานที่ที่คุณจะได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของฤดูกาลผ่านดอกไม้ต่างๆ